..เราเดินไปตามทาง ระหว่างพระอรหันต์กับปุถุชนเราเดินไปนี้ เช่น ลื่นล้มนี้ ปุถุชนก็ต้องช่วยตัวเอง ลื่นไม่ควรจะล้มไม่ยอมให้ล้มง่าย ๆ พระผู้สิ้นกิเลสพระอรหันต์ก็แบบเดียวกัน ไม่ควรล้มไม่ยอมล้ม จนกระทั่งสุดวิสัยถึงจะล้ม จะล้มแบบหงายหมาหงายคนก็ไม่รู้ละตอนนั้น นี่เรียกว่าเหมือนกัน
การหัวเราะก็เหมือนกัน เพราะเป็นขันธ์ กิริยาของสมมุติมากระทบสมมุติก็กระเพื่อมออกมา เป็นกิริยาของขันธ์ออกมา เช่นหัวเราะอย่างนี้ ก็หัวเราะได้เหมือนกัน
แต่ร้องไห้นั้นท่านเรียกว่าธรรมสังเวช ขันธ์แสดง เช่น พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระสาวกทั้งหลายปลงธรรมสังเวช คือ ขันธ์กระเพื่อม ขันธ์นี่ห้ามมันไม่ได้ พอว่าพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ระลึกถึงบุญถึงคุณท่านเข้ามาประกอบรวมเข้าสู่น้ำใจนี้เกิดความสังเวชขึ้น น้ำตาร่วง เข้าใจไหม
พระอรหันต์ไม่มีน้ำตาเหรอ มีอยู่ในกายของทุกคน น้ำตาก็คือขันธ์ มันกระเพื่อมก็ไหลออกมาได้ เกิดความสลดสังเวช นี่ละท่านเรียกว่าสลดสังเวช ไม่ได้บอกว่าท่านร้องไห้ เพราะคำว่าร้องไห้เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป
แต่ปลงธรรมสังเวชนี้เป็นกิริยาของน้ำตาร่วง เกิดขึ้นจากขันธ์กระเพื่อม สังขารปรุงขึ้นมาจากความรับทราบ พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว นั่นละพระอรหันต์ทั้งหลายท่านปลงธรรมสังเวช ก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน นี่เรียกว่าขันธ์
ขันธ์จะทำหน้าที่ของมันโดยสมบูรณ์เหมือนกันกับปุถุชน ขันธ์ของพระอรหันต์กับปุถุชนก็ขันธ์เสมอกัน การแสดงกิริยาของมัน มันก็แสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วยของมันเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนั้นไม่เข้าซึมซาบ ผิดกันเท่านั้นเอง..
บางส่วนจาก พระอรหันต์กับปุถุชน (พระอรหันต์กับขันธ์ 5)
พระธรรมเทศนา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วันที่ 31 กรกฎาคม. 2543 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
0 comments:
Post a Comment