หลวงตาศิริ อินฺทสิริ ..เพราะว่ารู้ไม่จริง ความรู้ไม่จริงตามนอน ถ้ารู้จริงว่ามันเกิดมันดับมันก็สิ้นเรื่องเท่านั้น ดับไปแล้วมันไม่ดับ ก็เลยไปคิดปรุงแต่งขึ้นมาอีก ปรุงแต่งไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดอารมณ์เข้าเท่านั้น..,
..มันเกิดอย่างนี้ จิตของเรามาเกิดรับรู้อารมณ์ภพหนึ่ง แล้วก็ดับลงเรียกว่าตาย ขันธ์ 5 เกิด ขันธ์ 5 ตาย อยู่อย่างนี้ ขันธ์ 5 ก็คือเรา เราก็คือใจ ขันธ์ 5 คือรูปกับนาม รูปเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ของใจ ใจนี่แหละคือเรา
เวลาตาเห็นรูปก็รูปส่งไปบอกใจ ใจก็รู้ เกิดรู้ขึ้นมาหนิ พอรู้แล้วก็ดับ แล้วก็ตาย นี่แหละขันธ์ 5 มันเกิดมันตายอยู่อย่างนี้ ขันธ์นี้ตายขันธ์ใหม่เกิดอีก หูได้ยินเสียงก็ขันธ์ 5 เกิดอีก แล้วก็ดับอีก
จมูกได้กลิ่น ขันธ์ 5 ก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก จมูกมันรู้ มันรับเข้ามาเฉยๆนะ มันไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลอยู่ในนั่นนะจมูก ตัวเรานะเป็นผู้รู้อารมณ์ว่าเกิดรู้ ว่าได้กลิ่นอันนั้นอันนี้ขึ้นมา แล้วก็ดับ
เกิดดับนี่แหละท่านเรียกว่าขณิกมรณัง ตายแบบปกปิด ตายแบบปกปิด ตายแป๊บเดียว เรียกว่าขณิกมรณัง ตายชั่วขณะเดียว ขณะจิตเดียวเท่านั้น เกิดแล้วก็ตาย
วันหนึ่งวันหนึ่งขันธ์ 5 เกิดตายอยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าทุกข์เกิด ทุกข์ดับ เรียกว่าขันธ์ 5 เกิดดับ ขันธ์ 5 เกิดตาย เกิดตาย อยู่อย่างนี้
มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ มีแต่ทุกข์เกิด มีแต่ทุกข์ดับ รู้จักทุกข์รึยังทีนี้หือ มันเกิดมันดับ เรียกว่าทุกข์
อะไรเกิดดับ สังขารเกิดดับ ทำไมว่าสังขาร กายสังขาร หรือกายนี่ก็เรียกว่าสังขาร สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งกันขึ้น ดินน้ำลมไฟ มาผสมปรุงแต่งกันขึ้น เรียกว่ากายสังขาร เรียกว่าสังขาร
จิตสังขารก็ เวทนา สัญญาไปปรุงแต่งจิตขึ้น จิตก็เรียกว่าสังขาร กายสังขาร จิตสังขาร กายกับใจนี่แหละ รูปกับนามนี่แหละ เรียกว่าสังขารหนิ เกิดขึ้น แล้วก็ดับอยู่หนิ
ไม่อยู่ที่ไหนสังขารหนิ สังขารเกิดดับหนิ ขันธ์ 5 เกิดดับหนิ เรียกว่าจิตไม่รู้เท่าสังขารนั่นน่ะ อวิชชาปัจจะยา สังขารา จิตไม่รู้เท่าสังขาร ไม่รู้ว่าสังขารมันเกิดเองดับเองเป็นอริยสัจจริงอยู่อย่างนี้
จึงเรียกว่าอวิชชา อวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขาราปัจจะยา วิญญานัง มันไปจากนี้ ถ้าดับแล้ว เกิดดับแล้ว จิตไม่รู้เท่าสังขารว่ามันเกิดมันดับ เกิดเองดับเองอยู่อย่างงี้
จึงไปถือเอา ไปยึดไปถือเอา ว่าเราเห็น ว่าเราได้ยิน จิตก็เลยไปปรุงแต่งต่ออีก ปรุงว่าเห็นของสวยๆ นั่น ก็เลยเกิดตัณหา เกิดราคะตัณหาขึ้น เกิดความโลภ ความอยากได้ขึ้นมา
ถ้าไปปรุงไปคิดว่าเห็นของอันนี้ไม่สวยไม่งาม มันน่าเกลียด น่ากลัว ก็เกิดโกรธ ขึ้นมา ไม่ยินดีไม่พอใจขึ้นมา เกิดชังขึ้นมา เนี่ย มันก็ปรุงไปอย่างนี้แหละสังขาร เกิดแล้วไม่ดับน่ะ มันไปค้างอยู่ที่จิตที่ใจเรา
เพราะว่าเรารู้ไม่จริง เราจึงดับไม่ได้ ก็เลยไปปรุงแต่งขึ้นมา ว่ามันสวยมันไม่สวย ก็เลย ยินดี ไม่ยินดีขึ้นมา ก็เลยเกิดราคะนุสัย ปฏิฆานุสัย ตามนอน เพราะว่าอวิชชานุสัย ตามนอน เพราะว่ารู้ไม่จริง ความรู้ไม่จริงตามนอน ถ้ารู้จริงว่ามันเกิดมันดับมันก็สิ้นเรื่องเท่านั้น
ดับไปแล้วมันไม่ดับ ก็เลยไปคิดปรุงแต่งขึ้นมาอีก ปรุงแต่งไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเกิดอารมณ์เข้าเท่านั้น นี่แหละความโลภความโกรธมันก็เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ ท่านว่า เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ..
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา หลวงตาศิริ อินฺทสิริ - โลกุตรธรรม
รับฟัง https://youtu.be/7sUJEtCZiZw?t=51m16s (51:16 - 55:49)
9.5.18
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment