หลวงตาศิริ อินฺทสิริ ..ทีแรกใหม่ๆเอ๊ คนก็อยู่ด้วยกัน อาหารการกินก็กิน ทำงานร่วมกันอยู่ ทำไมจะ รู้เฉยๆ ทำอะไร มันจะไม่ทำอะไร รู้ มันต้องรู้จัก จิตมันแบ่งออกเป็น 2 ภาค,
..จิตแท้ใจเดิม ไม่ไปยึดไปถือเอา เห็นก็สักแต่ว่าเห็นเฉยๆ ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน จะไปถือเอาก็ได้ ถือเอาตามโลกเขาสมมติ อยู่ด้วยกันก็ต้องมาถือเอาสมมติ ปฏิบัติตามสมมติ จิตมัน ตัวพุทโธแท้หนิมันจะเป็นธาตุรู้ๆอยู่ รู้แล้วไม่ยินดีไม่ยินร้าย
ไม่ไปยึดไปถืออะไร เราก็เอาพุทโธมายืนโรงไว้ ผู้ที่จะเอาอารมณ์พระนิพพาน ตาเห็นรูปก็ จิตก็ไปรู้ให้ พุทโธก็ไปรู้ให้ รู้แล้วมันไม่ยินดีไม่ยินร้ายเหมือนอยู่ในอารมณ์ สมาธิ เราก็ดับโลกดับอารมณ์ได้
ทีแรกใหม่ๆเอ๊ คนก็อยู่ด้วยกัน อาหารการกินก็กิน ทำงานร่วมกันอยู่ ทำไมจะ รู้เฉยๆ ทำอะไร มันจะไม่ทำอะไร รู้ มันต้องรู้จัก จิตมันแบ่งออกเป็น 2 ภาค ภาคหนึ่งเป็นโลกียจิต ทำงานทำอยู่ ทำมาหากินไป รับรู้อะไรมา มายึดมาถือเอา ส่วนจิตดวงหนึ่งมันจะเป็นโลกุตตระ นะ มันแยกภาคกันอยู่
ใหม่ๆมันเป็น มันทำไม่ได้เลย มันเป็นโลกียะหมด เอาไปเอามาเราก็ฝึก โอ๋อันนี้ โลกียะ เราอยู่ในโลกสมมติอยู่ ผัวก็มี เมียก็มี บ้านช่องห้องหอก็มี วัดวาอารามก็มี ทำอันนั้นอันนี้อยู่ก็มี เราก็ถือ ถือตามสมมติ ถือตามโลกเขาโลกียะ
จึงมาแบ่งออกได้ว่า อ๋อ ถือตามโลกียะอยู่ เพราะว่าเราอยู่ เป็นครอบเป็นครัว เป็นวัดเป็นวา เป็น อันนั้นต้องดูแลรักษา ช่วยอันนั้นอันนี้อยู่ ส่วนมันเป็นโลกียะนี่ เราก็เข้าใจ
ส่วนมันเป็นโลกุตตระก็มี ถ้าเกิดอารมณ์ขึ้นบางอย่าง บางอะไรที่ นั่นเราฝึกจิตไม่ทันก็เป็นโลกียะ มีความโกรธ หลงอยู่คือเก่า ถ้าเราฝึกได้ แม้ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง เราก็ฝึกไม่ไปยินดีไปยินร้าย จิต มีหน้าที่รู้ให้เฉยๆ
ท่านเรียกว่าอยู่ในอารมณ์อุเบกขา เอกัคคตารมณ์ คือเก่า อารมณ์พระนิพพาน อารมณ์โลกุตตระ อารมณ์วิมุตติ ให้เราแบ่งภาคออกอย่างนี้ เวลาออกมาจากสมาธิ
ถ้าจะเอาโลกุตตระ ก็เห็นก็สักแต่ว่าเห็นเฉยๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เข้าใจนะทีนี้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นที่ท่านเขียนเอาไว้ จิตมันเป็นผู้รู้ๆ อยู่เฉยๆ เป็นธรรมชาติอยู่เฉยๆ พุทโธหนิ รู้ให้ จิตเป็นผู้รู้ รู้ให้เฉยๆ
เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส จิต ก็มารู้ให้ ถ้าเราเผลอสติเป็นโลกียะ ก็ไปยึดไปถือเอา ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ สัมปชัญญะอยู่ ก็เป็นโลกุตระ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน
จิตรู้ให้แล้วก็ จับแล้วก็วาง ไม่ไปยึดไปถือเอา เราก็อยู่ในอารมณ์วิมุตติสุข เสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอดวันล่ะทีนี้ ไม่ ไม่ไปยึดไปถือเอา ไม่สำคัญตน ไม่หลงว่าเรามี รู้ว่ากายกับใจ ร่วมกันทำงานเฉยๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับ
นี่จะถืออารมณ์วิมุตติสุขนะหนิ ถ้าถืออารมณ์โลกียะก็ มีการทำการทำงาน มีอะไรอยู่ก็ต้องมายึดถือเอา ให้พากันเข้าใจแบ่งออก นี่ล่ะหลักการภาวนา มันก็มีเท่านี้ จิตตภาวนา จิตก็คือใจ
ภาวนาแปลว่าทำ ทำใจให้สงบ ทำใจให้เกิดปัญญา หนิเท่านี่ ง่ายมั้ยล่ะทีนี้ ถ้าใครถึงความสงบแล้ว ปัญญามันง่าย ท่านเรียกว่าสมาธิ ทำให้เกิดปัญญา..
บางส่วนจาก พระธรรมเทศนาหลวงตาศิริ อินฺทสิริ - บ้านจันทร์ส่องธรรมเชียงใหม่ เช้า 24 ธ.ค. 2559
https://youtu.be/TpKPaMa_uyU?t=31m41s (31:41 - 37:15)
21.5.18
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment