พระพุทธศาสนาย่นลงมาสั้น ถ้าเป็นเอกนิบาตก็ลงมาหา "ใจ" เพราะใจเป็นต้นเหตุ ผู้รับผลของเหตุก็ใจเป็นผู้รับ
ผู้สร้างเหตุขึ้นก็คือใจเป็นผู้สร้าง เมื่อสร้างเหตุขึ้นแล้ว ผลไม่ต้องประสงค์ก็ได้รับตามส่วนควรค่าของเหตุที่ทำดีและชั่ว
เมื่อจิตใจมีกามวิตกทีนี้..ความตริในทางกาม ผลของใจก็นำมาให้ในเวลานั้นในกามวิตก
เมื่อจิตใจส่งเสริมพยาบาทวิตก ผลของความพยาบาทก็มาหาจิตใจในเวลานั้น
เมื่อจิตใจส่งเสริมวิหิงสาวิตก ผลของความเบียดเบียนก็มาหาใจในขณะนั้น
"อกาลิโก" ให้ผลไม่มีกาล ให้ผลไม่มีเวลา
จิตใจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นปัญหา เดินไปก็เหมือนกันจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นปัญหา
เวลา "แดดส่อง" เงาก็ไปตามเงา ..ผลของเหตุตามไปยิ่งกว่าเงาอีกด้วย เงาในที่มันมืดก็ไม่ค่อยจะเห็น เหตุฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงอาศัย "หลักของเหตุ"
เหตุปัจจะโย เหตุเป็นปัจจัยในมหาปัฏฐานอนันตนัย
ปัจจุบันนะเหตุ ปัจจุบันนะผล อตีตะเหตุ อตีตะผล อนาคตตะเหตุ อนาคตตะผล
ใครเป็นผู้สร้างขึ้น..ก็ "พญาจิตราช" คนเดียวเป็นผู้สร้างขึ้น
ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาไม่ได้แย่งสร้าง เพราะเขาอยู่ใต้อำนาจพญาจิตราช ถ้าพญาจิตราชฉลาดก็ต้องพาเขาสร้างอันดีเพราะเราเป็นหัวจากเขา
บางส่วนจาก พระธรรมเทศนา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
http://dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=649
6.9.16
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment