..มันยังไม่จาคะขันธ์ 5 ออก สมาธิ เป็นแค่อุปจารสมาธิ เท่านี้ มันยังจรคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อยู่ นั่งสมาธิเค้าก็เรียกว่านิมิต นั่งอยู่เฉยๆก็คิด นอนหลับก็เรียกว่าฝันเท่านั้น
ไปกำเอาความฝัน ไปกำเอาแดดเอาลมมันได้อะไรล่ะ ไปกำเอานิมิตน่ะ มันได้อะไรขึ้นมานิมิต พอมันคิดไปแล้ว มันก็สังขารปรุงแต่งขึ้นมา เป็นหน้าคนหน้าสัตว์หน้าอะไรขึ้นมาก็ดับ ก็เห็นเกิด เห็นดับหนิแหละ
มันดับไปแล้วเราไม่ดับ เรากำเอา ไปยึดเอา ไปถือเอา ไปอุปาทาน เราจึงมาคิด ตื่นขึ้นนอนหลับก็มาฝัน ฝันก็ ตื่นขึ้นก็มาปรุงอีก ปรุงคิดไป มันจะเป็นอะไรน้อ อย่างงั้น อย่างงี้ ไปนี่แหละ ปรุงไป ถ้าปรุงไปเรื่องไม่ดี ก็ตกอกตกใจ เสียใจ ล่ะทีนี้ ใครจะป่วยใครจะตายน้อ ว่างั้นนะ
ถ้าปรุงไปเรื่องดีก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา ปรุงไปเรื่องไม่ดีก็เสียใจ ก็โกรธให้เจ้าของ โกรธให้ความฝัน มันมีแค่นี้ ขันธ์ 5 เกิดดับ เท่านี้ เราไม่รู้เท่าขันธ์ 5 ก็เลยไปอุปาทานเอา นอนหลับ มันก็พอสะดุ้งตื่นขึ้นนิดหน่อย
ขันธ์ 5 ก็ทำงาน เรียกว่าฝัน เห็นอันนั้นอันนี้ขึ้นมาเท่านั้น ถ้านอนหลับน่ะ ถ้านั่งสมาธิ ก็จิตส่งนอกไปเห็นอันนั้นอันนี้ขึ้นมา รูปภายนอกที่มากระทบจิตนั่นน่ะ คือรูปภายนอก ใจเราก็คือรูปภายใน สิ่งที่ปรากฏขึ้นเป็นภาพ เป็นแสง เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรสขึ้นมาน่ะ ก็คือนาม
รู้ว่ากลิ่นนั้นรสนี้ รูปอันนั้นอันนี้ก็คือใจ คือนาม รูปกับนาม ก็เกิดแล้วก็ดับแค่นี้ อย่าไปหลงกล มัน ถ้ามันสงบจริงๆมันน่ะว่าง นั่นน่ะ ไม่ไปเห็นอะไรดอก เห็นแต่ความว่าง เป็นธรรมชาติอยู่ นั่นแหละคือธรรมชาติ นั่นแหละคือธัมโม..
บางส่วนจาก หลงนิมิตเสียเวลา(๒) (31:50 - 34:16)
พระธรรมเทศนาหลวงตาศิริ อินฺทสิริ วัดถ้ำผาแดงผานิมิต
https://drive.google.com/file/d/0B6OG_Su4MwGZaWIxT2s1bmNKV00/view?usp=sharing
10.9.16
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment