พระธรรมเทศนาหลวงตาศิริ อินฺทสิริ ..มานั่งสมาธิบารมีทั้งหมดมารวมอยู่ บารมี 10 ทัศ มารวมอยู่ จะบริบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ จิตว่าง สว่างไสว จนถึงอุเบกขา เอกัคคตารมณ์
(1)ทานบารมี อย่างละเอียด คือทานขันธ์ 5 มานั่งสมาธินี่แหละ จิตสงบ จิตจาคะขันธ์ 5 ออก เรียกว่าทานขันธ์ 5 อันนี่ ไผทานขันธ์ 5 ได้ ก็ได้ถึงพระนิพพาน เข้าใจบ่ล่ะหือ ขันธ์ 5 นั่งอยู่นี่ นั่งสมาธิ ได้เจโตวิมุตติ จิตจาคะขันธ์ 5 ทานขันธ์ 5 ออก นี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญบารมี..
(2)ศีลบารมี เรามานั่งอยู่ กายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ก็เรียกว่าศีลเท่านั้น กายดี วาจาดี ใจดี ..คิดแต่มารู้อยู่กับลมเท่านั่น กายก็บ่ไปเฮ็ดอีหยังนั่งตรง วาจาก็บ่ไปเว้า(พูด)หยังเว้า เว้าแต่พุทโธ พุทโธ เว้าแต่เข้าเว้าแต่ออก เว้าแต่ลมหายใจเจ้าของ..
(3)เนกขัมมบารมี ก็ออกหนีจากสิ่งคลุกคลีวุ่นวาย มาปฏิบัติ..
(4)ปัญญาบารมี มานั่งอยู่นี่ ฝึกสติปัญญา อบรมจิตเจ้าของ ให้เป็นสมาธิ ก็ได้สร้างบารมี ปัญญาบารมี มาได้เจโตวิมุตติ ก็เรียกว่าปัญญา วิมุตติขึ้นมา นี่แหละปัญญาบารมี ไม่ได้อยู่ที่ไหน พากันเข้าใจ บารมี
มานั่งอยู่นี่ รวม มานั่งสมาธิบารมีทั้งหมดมารวมอยู่ กับสมาธิใหญ่ บารมี 10 ทัศ มารวมอยู่ จะบริบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อ จิตว่าง สว่างไสว จนถึงอุเบกขา เอกัคคตารมณ์ นั่นน่ะ รู้ รู้ เฉย นั่นน่ะ อุเบกขา บารมี ไม่ได้อยู่ที่ไหน มานั่งอยู่หนิ
(5)วิริยะ วิริยะบารมี ความเพียร วิริยะแปลว่าความเพียร เพียรตั้งสติ มาให้ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ ก็เรียกว่าวิริยะบารมี เข้าใจบารมีมั้ยล่ะทีนี้ นั่งอยู่หนิได้หมด บริบูรณ์หมด นั่งสมาธิ วันนึง บารมี 10 ทัศ มารวมอยู่ในสมาธิ..
..สร้างบารมีจะไปสร้างตรงไหน ลมหายใจไม่มี จะไปสร้างได้หรือบารมี หือ นั่งจับเอาลมหายใจอย่างเดียว ครบบริบูรณ์หมดเลย บารมี มันจะอยู่ที่อานาปานสติ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ บารมี 10 ทัศ..
(6)ขันติ คู่กันกับขันแตก นั่งไปปวดแข้งปวดขา เนี๊ยขันติบารมี ขันติแปลว่าอดทน อดกลั้น นั่งไปมันปวดแข้งปวดขา นี่แหละมาร ขันธมาร มารบกับเรา อดเอา ขันติแปลว่าอดทน อดกลั้น บ่ให้เอามือ ออกจากกัน บ่ให้บิดหน้าบิดหลัง นั่งทับคอ ให้มันตาย ..ผู้ได๋เป็นผู้เจ็บผู้ปวด เอาไปเอามา กิเลสมันแล่นหนี มันย่าน โหเขาเอาจริงเอาจัง นี่แหละ ปรมัตถบารมี
(7)พระพุทธองค์ตั้งสัจจะ ตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งสัจจะ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด ถึงแม้เนื้อจะเหือดหนังจะแห้ง เราจะไม่ลุกออกจากที่เป็นเด็ดขาด ตั้งจิตให้หนักแน่น เหมือนพื้นแม่ธรณี จะไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด หากไม่ตรัสรู้ มีทางเดียวชนะมาร เจ็บอย่างได๋ก็บ่ออกบาดหนิ ..มารก็แตกกระจุยไป ท่านจึงเขียนว่าแม่ธรณีมาช่วยพระพุทธองค์บีบมวยผม เอาน้ำออกมาท่วมมารตาย ท่านตั้งสัจจะเฉยๆ ตั้งจิตให้หนักแน่น เหมือนผืนแผ่นธรณี จะไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด แล้วท่านทั้งหลายกล้าตั้งสัจจะอย่างนี้มั้ยล่ะหือ
..สัจจะบารมี ตั้งสัจจะอธิษฐาน(8 อธิษฐานบารมี) ปวดแข้งปวดขา ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด
..เมื่อจิตเริ่มสงบ เห็นสมาธิเกิดขึ้น น้ำตาไหล เมตตาสงสาร คิดฮอดพ่อฮอดแม่แล้ว จิตเริ่มเป็นหนึ่ง อุเบกขาบารมี รู้เฉย รู้เฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ออกมาก็ มีแต่ความเมตตาสงสาร คนอื่นมานั่งสมาธิ อยู่ด้วยกันหลายๆนี้ มันจะสงบอย่างนี้มั้ยน้อ จะมีขันติ มีวิริยะ มีสติอดกลั้นอดทนมั้ยน้อ จะมีสัจจะอธิษฐานมั้ยน้อ พ่อแม่เราจะเห็นสมาธิอย่างงี้มั้ยน้อ
..คึดฮอดพ่อฮอดแม่ เมตตาบารมี เอื้อยเฮา(พี่สาวเรา) น้องเฮา เห็นสมาธิ เห็นความสงบ เห็นพระนิพพาน อย่างซี่บ่น้อ มันไม่อยู่ที่อื่น บารมี เมตตาบารมี เมตตาสงสาร อยากให้เขาจิตสงบคือเฮา เห็นอารมณ์พระนิพพานคือเฮา ..เห็นเขาขี้คร้านนั่งสมาธิก็เมตตาสงสารเขา ก็เรียกว่าเมตตาบารมี(9)
(10)อุเบกขาบารมี เมื่อออกจากสมาธิไป เราก็ไปฝึกอุเบกขา ตาเห็นรูป ก็ให้เอาอารมณ์ที่เราเห็นอยู่ในสมาธินั่นแหละ มาตั้งเอาไว้ ไม่มีสัตว์บุคคลตอนเข้าสมาธิ ตัวตนเราเขา เอาพุทโธมายืนโรงเอาไว้..
จิตสมาธิสงบ เราจะเห็นพุทโธ จิตเป็นผู้รู้ รู้ รู้ รู้ เห็นธรรมชาติ ครอบจักรวาลอยู่ ราบเหมือนหน้ากลองชัย เวลาจิตสงบ ต้นไม้ภูเขาเลากา สัตว์สาวาสิ่งไม่มี ร่างกายเราก็ไม่มี ลมหายใจก็ไม่มี ทิศเหนือทิศใต้ ตะวันออกตะวันตกไม่มี เป็นอันเดียวหมด เป็นธรรมชาติครอบโลกอยู่ ราบเหมือนหน้ากลองชัย สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี
เราก็มานี่ล่ะ อุเบกขาบารมี เมื่อออกจากสมาธิมาก็เอา อารมณ์นี่แหละมาตั้งไว้ ให้มันอยู่อุเบกขา มาฝึกภาวนา ให้ได้อุเบกขา เมื่อตาเห็นรูป จั่งสิ บรรลุได้ ในสมาธิเราเห็นแล้ว ยถาภูตญาณทัสสนะ คือเห็นตามความเป็นจริงแล้ว
ว่าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มี ในขันธ์ 5 หนิ ตอนเข้าสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิมา ตาเห็นรูป เราก็มา บำเพ็ญบารมี อุเบกขา ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เราเห็นตาเห็นรูป บ่มีเรา สัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในหูในตาในก้อนสกลกายนี้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ยินดีไม่ยินร้ายอะไร อุเบกขาบารมี จิตก็จะว่าง ไม่มีอารมณ์ไหนมาประกอบจิต
หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน เราไม่มี นอนหลับเราไปไหน เวลานอนหลับเราไปไหน เคยเห็นเรามั้ยล่ะนอนหลับน่ะหือ เวลาเข้าสมาธิเราไปไหน ไม่มี นี่ เวลา ออกจากสมาธิ ตาเห็นรูป ทำไมๆ มาสำคัญตนว่าเราเห็นน่ะหือ หูได้ยินเสียงทำไมมาสำคัญตนว่าเราได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน อุเบกขาบารมี จิตนิ่งว่าง ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เฉย ไม่ยินดีไม่ยินร้าย จิตก็อยู่ในมัจฉิมะ ว่าง เป็นกลางอยู่
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย เรียกว่าอุเบกขา ตาเห็นรูปก็ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สักแต่ว่า ตามันทำงาน ขันธ์ 5 มันทำงาน หูได้ยินเสียง ขันธ์ 5 ทำงาน จมูกได้กลิ่น ขันธ์ 5 ทำงาน ลิ้นได้รส ขันธ์ 5 ทำงาน ไม่มีเราอยู่ในขันธ์ 5
เอาพุทโธ ธัมโมยืนโรงไว้ เป็นสรณะที่พึ่ง เมื่อความรู้ความเห็นเกิดขึ้น จิตก็มีหน้าที่รู้ให้เห็นให้ ได้ยินมั้ย มันรู้ให้เฉยๆจิต จิตที่ไปหลง ไปอุปาทาน แบกเอาโลกแบกเอาอารมณ์แบกเอาสมมติ เค้าก็เรียกว่าจิตโง่จิตหลง
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา เรื่อง บารมี
หลวงตาศิริ อินฺทสิริ วัดถ้ำผาแดงผานิมิต
(บันทึกเสียงหลวงตาไว้เมื่อ 1 พ.ย. 2015)
https://drive.google.com/file/d/0B6OG_Su4MwGZQzVPQ2hEdDd4eVU/view?usp=sharing
24.7.16
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment