สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ ..ผู้มีอุเบกขาในใจ การแสดงออกภายนอกหมายรวมถึงการที่ทำคำที่พูดจะเหมือนไม่มีอุเบกขาได้
เพราะผู้มีอุเบกขานั้นไม่หมายถึงจะต้องไม่รับรู้ในคุณโทษของสิ่งภายนอก ผู้มีอุเบกขาย่อมรู้ดีว่าปฏิบัติอย่างไรเป็นคุณปฏิบัติอย่างไรเป็นโทษ
บางทีการวางเฉยทางกายทางวาจาเหมือนกับใจที่วางเฉยอยู่ด้วยความสงบก็อาจเป็นคุณ แต่บางทีก็อาจเป็นโทษ เมื่อการวางเฉยภายนอกจะเป็นโทษ ผู้มีพรหมวิหารธรรมข้ออุเบกขาพิจารณาเห็นแล้ว ก็ย่อมต้องแสดงออกตามความเหมาะความควร
รักษาไว้อย่างหวงแหนที่สุดเพียงอย่างเดียว คือใจที่เป็นอุเบกขา ไม่หวั่นไหววูบวาบขึ้นลงไปตามการแสดงออกภายนอก
ความสงบอย่างยิ่งของใจย่อมมีอยู่ได้เป็นปกติด้วยอำนาจของอุเบกขาที่แท้จริงในพรหมวิหารธรรม
ตรงกันข้ามกับผู้มีใจยังไม่เป็นอุเบกขา ยังหวั่นไหววูบวาบ เอียงไปทางนั้นทางนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่อาจวางใจเป็นกลางวางเฉยได้ แต่ก็สามารถแสร้งแสดงอุเบกขาให้ปรากฏออกภายนอกได้
อุเบกขานั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจของผู้ใด ใจของผู้นั้นจะสามารถวางเฉยได้ในทุกเรื่องทุกเวลา แม้บางระดับจะวางได้ไม่สูงก็ยังพอวางได้ เรียกว่าเป็นอุเบกขาได้แม้ใจระดับต่ำ แต่ก็ยังเป็นอุเบกขาที่แท้จริง..
จากหนังสือ แสงส่องใจให้เพียงพรหม
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ หน้า ๑๐๐ – ๑๐๘
0 comments:
Post a Comment