หลวงตาศิริ : ..แต่เมื่อเรามาพิจารณาเห็นแล้ว เกิดญาณจักขุขึ้น ดวงตาเห็นธรรม เห็นว่า ลบสมมติออก ตาหนิ พิจารณาก็สักแต่ว่าตาเฉยๆ สมมติ ว่าตาเฉยๆ รูปนามขันธ์5 ก็สมมติกันมาเฉยๆ ถอดสมมติออกหมดนั่นล่ะ พูดง่ายๆ
..ถอดสมมติออกทิ้งหมด ผมก็เอาทิ้ง เค้าสมมติว่าผม ผมจริงๆไม่มี ขนก็เอาทิ้ง อาการ31 32 เค้าสมมติขึ้นมาใช้กัน ให้โลกเค้าใช้ร่วมกันเฉยๆ สมมติขึ้นมา
เราดับสมมติวางสมมติออกหมด ก็เหลือตั้งแต่ธรรมบัญญัติ เหลือเท่าเก่า แต่ท่านเรียกว่าธรรมบัญญัติ หรือเรียกว่าเป็นสังขารธรรมไปเสียแล้ว//
..สังขาร โลกหนิ โลกหนิเค้าสมมติว่าเป็นรูปนามขันธ์5 อายตนะ6 หรือสมมติว่าผมขนเล็บจมูก ตา แล้วแต่จะสมมติขึ้นไปในก้อนธาตุก้อนธรรม สมมติ ออกจากนี่ สมมติว่าสวยว่างามก็สมมติออกจากนี่แหล่ว ว่าไม่สวยไม่งามก็สมมติออกจากนี่แหละ
ถ้าเรา ตราบใดเรายังเห็นว่า ร่างกายของเรา ถ้าพิจารณาเอามาเดินปัญญาแล้ว ยังมาเห็นร่างกายของเรา ตัวเรานี่ล่ะ เป็นรูปนามขันธ์5 อายตนะ6 เห็นว่าผมขนเล็บเรา ผมของเรา เล็บของเรา ขนของเรา เป็นเราเป็นสัตว์เป็นบุคคลอยู่
อันนี้ก็ยังเป็นสังขารโลก เป็นโลกอยู่ สังขารโลกอยู่คือเก่า ยังเห็นว่าเจ้าของเป็นสัตว์เป็นคนเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาอยู่ ก็ยังเห็นสังขารร่างกาย เป็นโลกอยู่ นะ
ถ้าต่อเมื่อเรามาเดินปัญญานี่ล่ะ พิจารณาเกิดรู้จริงเห็นจริงเรียกว่า เกิดธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ขึ้นมา นี่ล่ะปัญญา เดินปัญญาเกิดรู้เกิดเห็นตามความเป็นจริง ปัญญาเห็นธรรม เห็นว่ารูปนามขันธ์5 นี่ล่ะ รูปนามขันธ์5 ตาหูจมูกลิ้นของเรานี่ล่ะ รูปนามขันธ์5 อายตนะ6 หรือผมขนเล็บฟัน ว่างจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
เกิดธรรมจักขุ เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมานี่ล่ะ เห็นว่าก้อนธาตุก้อนธรรม ก้อนปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร ว่างจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลอยู่นี่ เราก็จะเห็นว่า สังขารอันนี้ล่ะ เป็นธรรม
ก็มีคือเก่า มันก็มีเท่าเก่านะ ตาหูจมูกลิ้น ก็มีคือเก่า รูปนามขันธ์5 อายตนะ6 หนิ มันก็มีคือเก่า ผมขนเล็บฟันก็มีคือเก่า แต่เมื่อเรามาพิจารณาเห็นแล้ว เกิดญาณจักขุขึ้น ดวงตาเห็นธรรม เห็นว่า ลบสมมติออก ตาหนิ พิจารณาก็สักแต่ว่าตาเฉยๆ สมมติ ว่าตาเฉยๆ
รูปนามขันธ์5 ก็สมมติกันมาเฉยๆ ถอดสมมติออกหมดนั่นล่ะ พูดง่ายๆ หากเราเข้าใจถอดสมมติออกมาดู ถอดสมมติออกมาหมด ก็คงเหลืออยู่เท่าเดิม รูปนามขันธ์5 อายตนะ6 ก็คงเหลืออยู่เท่าเดิม ผมขนเล็บฟันก็เหลืออยู่เท่าเดิม
ลบสมมติออกหมด ก็คงเหลืออยู่เป็นก้อนธาตุก้อนธรรม ท่านเรียกว่าธรรมบัญญัติ เหลือแต่บัญญัติธรรม หากถอดสมมติออกหมด ก็คงเหลืออยู่เท่าเดิม ตาก็มีเท่าเดิมหูก็เท่าเดิม ผมขนเล็บฟันก็มีเท่าเดิม
เอาสมมติออกก็เหลือแต่ก้อนธาตุก้อนธรรม จึงกลายเป็นบัญญัติธรรม นี่ล่ะ สังขารธรรม กลายเป็นสังขารธรรม สังขารคือร่างกายจิตใจก็มีอยู่คือเก่านั่นแหละ แต่ว่าถอดออกหมด ถอดสมมติออกทิ้งหมด
ผมก็เอาทิ้ง เค้าสมมติว่าผม ผมจริงๆไม่มี ขนก็เอาทิ้ง อาการ31 32 เค้าสมมติขึ้นมาใช้กัน ให้โลกเค้าใช้ร่วมกันเฉยๆ สมมติขึ้นมา เราดับสมมติวางสมมติออกหมด ก็เหลือตั้งแต่ธรรมบัญญัติ
เหลือเท่าเก่า แต่ท่านเรียกว่าธรรมบัญญัติ หรือเรียกว่าเป็นสังขารธรรมไปเสียแล้ว..
บางส่วนจาก พระธรรมเทศนา หลวงตาศิริ อินฺทสิริ ๑๐. สังขาร ๓ - CD จากงานสมโภชพระธุตังคเจดีย์
https://youtu.be/3lkDFFD8E_k?t=15m45s
(15:45 - 20:26)
16.12.17
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment