..เมื่อมาพิจารณาเห็นร่างกายตามเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ก็ปล่อยวางมันลง เมื่อปล่อยวางลงไม่ถือว่าเป็นของเราแล้ว จิตใจก็สบาย แม้ว่าร่างกายนี้มันจะแปรปรวนไปมันก็ไม่เป็นทุกข์จิตนี้ เพราะมันไม่ถือว่าเราแปรปรวนไม่ถือว่าเราตาย
มันกำหนดรู้ว่า ร่างกายอันนี้มันกำลังจะแตกจะดับอยู่ หรือว่าธาตุทั้ง 4 ดินน้ำไฟลมนี่มันกำลังจะแยกออกจากกัน มันก็เห็นไปอย่างนั้น มันเห็นเป็นสภาวะธาตุไป ไม่ได้เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เมื่อมันเห็นเป็นสภาวะธาตุไปอย่างนั้น มันก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนอะไร
ก็เหมือนอย่าง เราเห็นดินอยู่ภูเขานู้น มันพังลงมาฝนตกเซาะมัน มันก็มีความรู้สึกเฉยๆพอปานนั้นแหละ ไม่แตกต่างอะไรเลย ความรู้สึกนั้น เพราะว่าก็รู้แล้วว่าดิน ดินนี่ไม่ใช่ของเรา ภูเขานู้น ต่างหาก ไม่ใช่ของเรา
ก็เมื่อมันเห็นอย่างนั้น มันก็วางเฉยลงได้ จิตอันนั้นน่ะ อันนี้ฉันใดก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ เมื่อภาวนาใจสงบปัญญาเกิดขึ้นแล้ว มองเห็นร่างกายนี้เป็นแต่ธาตุ ไม่ใช่ว่าเป็นตัวเป็นตน ดั่งที่สมมติกันมานั้นจริงจัง
สมมติเอาธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่มันรวมกันอยู่เป็นก้อนเนี่ย ว่าตัวว่าตนว่าเราว่าเขา ก็เพียงเท่านี้แหละ ร่างกายอันนี้น่ะ เมื่อเพ่งเข้าไปถึงความจริงแล้ว เมื่อใจมันมีปัญญามันรู้แจ้งกายตามเป็นจริงอย่างนี้
มันก็ไม่เป็นทุกข์ เวลาร่างกายอันนี้มันวิบัติแปรปรวนไป ก็จึงได้รู้จักว่า อ๋อทางออกจากทุกข์มันออกทางนี้ ทางดับทุกข์มันดับทางนี้ ทุกข์น่ะไม่อยู่ที่อื่น อยู่ที่จิตดวงเดียว ดังนั้นเมื่อทำจิตให้สงบ เมื่ออบรมปัญญาให้เกิด ปัญญามาสอนจิตนี่ ให้รู้แจ้งธาตุ 4 ขันธ์ 5 ตามเป็นจริงแล้ว นี่จิตนี้มันจึงไม่เป็นทุกข์
ความดับทุกข์มันก็อยู่ตรงนี้ซี่จะอยู่ที่ไหน อยู่ที่จิตไม่ยึดถือขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเป็นตนนี่ นี้เองนะ เมื่อขันธ์ 5 นี้มันวิบัติแปรปรวนไป จิตก็ไม่เป็นทุกข์ไม่อาลัย ไม่โศกเศร้าเสียใจ เพราะไม่ถือว่าเป็นของเรา อันนี้น่ะ จะว่ายังงัย ก็ว่าสันทิฏฐิโกแล้วบัดนี้น่ะ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้เองเห็นเอง ธรรมของจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั่น คืออริยสัจ 4 นั่นน่ะ..
บางส่วนจาก รักษาใจ
พระธรรมเทศนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ 20 ม.ค. 31
https://youtu.be/O0CLbI6-R4Y?t=9m37s
(9:37 - 13:16)
30.3.17
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment