ธรรมชาติของจิต
แต่ว่าจิตนั้นก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นธาตุรู้ อันเรียกว่าวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ คือรู้อะไรๆ ได้ แต่ว่าเพราะจิตที่ยังมิได้อบรมนั้นแม้จะเป็นธรรมชาติรู้ ก็ยังเป็นรู้ผิด รู้หลงอยู่ เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้สิ่งใดก็เป็นความรู้ที่ไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่เป็นความรู้ที่ติดอยู่แค่มายาของสิ่งเหล่านั้น ยังไม่ทะลุถึงสัจจะคือความจริง
ฉะนั้น จึงมีความยึดถือติดอยู่ในมายาของสิ่งนั้นๆ ในโลก เมื่อสิ่งที่ยึดนั้นเป็นเพียงมายา ไม่ใช่เป็นสัจจะคือความจริง ความรู้ที่ยึดมายานั้นจึงเป็นความรู้ผิด เป็นความรู้หลง
ฉะนั้น จึงรับอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายที่ได้ประสบพบเห็นทางตา โดยเป็นรูปต่างๆ ที่ได้ยินทางหูโดยเป็นเสียงต่างๆ ที่ได้ทราบทางจมูกโดยเป็นกลิ่นต่างๆ ที่ได้ทราบทางลิ้นโดยเป็นรสต่างๆ ที่ได้ทราบทางกายโดยเป็นสิ่งถูกต้องต่างๆ และที่ได้รู้ได้คิดทางใจ
โดยเป็นธรรมะที่แปลว่าเรื่องราวต่างๆ คือเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบพบผ่านมาแล้วเป็นต้น สิ่งที่รับทางตาหูเป็นต้นดังกล่าว เข้ามาคิดปรุงหรือปรุงคิดในจิตใจ เรียกว่าอารมณ์
และเมื่อความรู้ของจิตที่รับนั้นยังเป็นความรู้แค่มายาของสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นจึงบังเกิดความยินดีในอารมณ์คือเรื่องอันเป็นที่ตั้งของความยินดี ยินร้ายในอารมณ์คือเรื่องอันเป็นที่ตั้งของความยินร้าย หลงติดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของความหลงติด
จึงปรากฏเป็นราคะความติดใจยินดี หรือโลภะความโลภอยากได้ เป็นโทสะความกระทบกระทั่งโกรธแค้นขัดเคือง เป็นโมหะคือความหลงอันเรียกว่ากิเลส
พระธรรมเทศนา ธรรมชาติของจิต
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
0 comments:
Post a Comment