31.1.17

แต่ว่าจิตนั้นก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นธาตุรู้ อันเรียกว่าวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ คือรู้อะไรๆ ได้ แต่ว่าเพราะจิตที่ยังมิได้อบรมนั้นแม้จะเป็นธรรมชาติรู้ ก็ยังเป็นรู้ผิด รู้หลงอยู่ เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง

BY Somchatchai IN No comments


ธรรมชาติของจิต

แต่ว่าจิตนั้นก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นธาตุรู้ อันเรียกว่าวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ คือรู้อะไรๆ ได้ แต่ว่าเพราะจิตที่ยังมิได้อบรมนั้นแม้จะเป็นธรรมชาติรู้ ก็ยังเป็นรู้ผิด รู้หลงอยู่ เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้สิ่งใดก็เป็นความรู้ที่ไม่ทะลุปรุโปร่ง แต่เป็นความรู้ที่ติดอยู่แค่มายาของสิ่งเหล่านั้น ยังไม่ทะลุถึงสัจจะคือความจริง

ฉะนั้น จึงมีความยึดถือติดอยู่ในมายาของสิ่งนั้นๆ ในโลก เมื่อสิ่งที่ยึดนั้นเป็นเพียงมายา ไม่ใช่เป็นสัจจะคือความจริง ความรู้ที่ยึดมายานั้นจึงเป็นความรู้ผิด เป็นความรู้หลง

ฉะนั้น จึงรับอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายที่ได้ประสบพบเห็นทางตา โดยเป็นรูปต่างๆ ที่ได้ยินทางหูโดยเป็นเสียงต่างๆ ที่ได้ทราบทางจมูกโดยเป็นกลิ่นต่างๆ ที่ได้ทราบทางลิ้นโดยเป็นรสต่างๆ ที่ได้ทราบทางกายโดยเป็นสิ่งถูกต้องต่างๆ และที่ได้รู้ได้คิดทางใจ

โดยเป็นธรรมะที่แปลว่าเรื่องราวต่างๆ คือเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบพบผ่านมาแล้วเป็นต้น สิ่งที่รับทางตาหูเป็นต้นดังกล่าว เข้ามาคิดปรุงหรือปรุงคิดในจิตใจ เรียกว่าอารมณ์

และเมื่อความรู้ของจิตที่รับนั้นยังเป็นความรู้แค่มายาของสิ่งเหล่านั้น ฉะนั้นจึงบังเกิดความยินดีในอารมณ์คือเรื่องอันเป็นที่ตั้งของความยินดี ยินร้ายในอารมณ์คือเรื่องอันเป็นที่ตั้งของความยินร้าย หลงติดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของความหลงติด

จึงปรากฏเป็นราคะความติดใจยินดี หรือโลภะความโลภอยากได้ เป็นโทสะความกระทบกระทั่งโกรธแค้นขัดเคือง เป็นโมหะคือความหลงอันเรียกว่ากิเลส

พระธรรมเทศนา ธรรมชาติของจิต
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

0 comments:

Post a Comment