29.11.16

เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหาอันนี้ ถ้าสะสมให้มันรุนแรงเข้ามาแล้ว มันไม่ไหวน่ะ มันไม่กลัวบาปกลัวกรรมอะไรเลย มันจะไปตกนรกซักกี่หลุมมันก็ยอมไป

BY Somchatchai IN No comments


..เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหาอันนี้ ถ้าสะสมให้มันรุนแรงเข้ามาแล้ว มันไม่ไหวน่ะ มันไม่กลัวบาปกลัวกรรมอะไรเลย มันจะไปตกนรกซักกี่หลุมมันก็ยอมไป ตัณหาตามืดมันเป็นอย่างงั้น ท่านจึงเรียกตัณหาหน้ามืดนั่นแหละ ตัณหาตาบอดก็ว่าได้ นั่นจึงไม่ควรประมาท จึงควรพากันเจริญอสุภะกรรมฐานนี่ เสมอเสมอไปแหละ..

..กิเลสตัวอื่นค่อยยังชั่วนะ ตัวนี้แรงกว่าเพื่อนทั้งหมดเลย

ผู้เป็นนักบวชต้องสังวรระวัง เป็นพิเศษ อย่าให้มันครอบงำจิตใจได้ แม้เป็นคฤหัสถ์ ก็เหมือนกันนะ ต้องสำรวมระวัง อย่าให้มันเกินขอบเขต ถ้าเกินขอบเขตไปแล้ว ก็อย่างว่า เป็นเหตุให้ทำบาปทำกรรม ไม่เฉพาะแต่ไปทำชู้กับสามีภรรยาของคนอื่นเท่านั้นหรอก เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่ว 5 อย่างได้ทั้งหมดเลยแหละ เป็นอย่างงั้น..

..ถ้าหากว่าใครไม่หมั่นเจริญ อสุภะกรรมฐาน เนี่ย แน่นอนล่ะ กิเลสประเภทนี่ มันต้องมีกำลังทีเดียวล่ะ

ผู้เป็นคฤหัสถ์ เมื่อได้ยินธรรมะบรรยายอย่างนี้ก็ นึกว่าอื้อ ไม่ใช่เรื่องของเราน่ะ เรื่องของพระนู้นต่างหาก อสุภะกรรมฐานเนี่ย เราผู้เป็นคฤหัสถ์ ไม่จำเป็นต้องมาเจริญหรอก ผู้ใดเข้าใจอย่างนั้น อย่างที่ว่านี้ เข้าใจผิดอ่ะ..

..จิตใจมันหลง มันสำคัญผิด มานับอเนกชาติ ควรจะตื่นตัวกันได้แล้ว อันเป็นคฤหัสถ์ก็ดี ไม่ควรจะไปนึกว่า นั่นเรื่องของพระต่างหากหรอก ไม่ควรคิดอย่างนั้น เพราะว่าจะเป็นพระ จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม มันก็หลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เหมือนกันนี่แหละ

ก็อย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ คฤหัสถ์หลงก็เป็นเหตุให้ทำลายศีล ทั้ง 5 ข้อนั่นน่ะ ถ้าบรรพชิตหลง ก็เป็นเหตุให้ทำลายสิกขาบท น้อยใหญ่ ที่อยู่ในวิสัยที่ตนจะพึงรักษา จะพึงสำรวมระวังมันก็สำรวมไม่ได้..

..ไม่ใช่เป็นของสะอาดอะไร อัตภาพร่างกายอันนี้ ก็เพ่งดู ให้อสุภนิมิต บังเกิดขึ้นในดวงจิตนั้น นี่มันจะได้บรรเทาราคะตัณหาลง..

..จิตนี้เมื่อยึดอารมณ์ภายนอกไว้รู้สึกมันหนักหน่วง เหมือนเอาหาบ วางอยู่บนบ่านั่นน่ะ มันเป็นอย่างงั้น ขั้นเมื่อปล่อยวางอารมณ์ภายนอกต่างๆไปหมดแล้ว ทวนกระแสเข้ามาในปัจจุบันนี้แล้ว

เพ่งเข้าไป มีแต่สติกับความรู้สึกอยู่ภายในอย่างเดียว มันรู้สึกมันเบามันโปร่ง เอ่อดี นั่นแหละ เหมือนกับว่าไม่มีภาระการงานอะไรอยู่ในใจนั่นน่ะ หมดภาระลง นี่ต้องฝึกใจให้เป็นอย่างนี้ มันถึงจะมีปัญญารู้แจ้งธรรมของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ได้ ไม่อย่างงั้นมันจะไม่เห็นแจ้ง เห็นก็เห็นมัวๆไปอย่างงั้นแหละ คือมันต้องมาทำกระแสจิตนี้ให้มันใสสะอาด ซะก่อน อย่างงี้นะ..

คัดช่วง บางช่วง มาจาก
เจริญอสุภะ ชำระจิตด้วยศีล
พระธรรมเทศนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

0 comments:

Post a Comment