..จิตหลงจิต จิตหลงเจ้าของ อวิชชาปัจจะยา สังขารา จึงเป็นปัจจัยให้ไปหลงสังขารอีก ถ้าจิตรู้แท้หนิ นั่งสมาธิเข้าไป จิตแท้ใจเดิมมันเป็นสภาพรู้อยู่เฉยๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ต้องเข้าใจอย่างนี้ ไม่มีตัวตน ไม่มีเราอยู่ในนั้นนะ ถ้าหลงว่าเรามีเท่านี้
ความหลง ไม่หลงไกลนะ หลงว่าเรามีเท่านี้ล่ะ ถ้ารู้ว่าใจก็ไม่ใช่เรา กายก็ไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา อวิชชาก็ดับลงเท่านั้น ความรู้ไม่จริงก็ดับลง ความรู้จริงเกิดขึ้น ก็รู้ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่ในนี่
อวิชชาก็หลงว่าเรามีนี่ล่ะ "พอรู้ว่าเราไม่มีล่ะทีหนิ สังขารมันจะมีไหมล่ะ" สังขารน่ะ สังขารก็ดับ อวิชชายะ เตววะ อวิชชาดับ สังขารก็ดับ ก็อวิชชาก็หลงรูปกับนาม นี่ล่ะ รูปกับนามอิงอาศัยกันเกิด ก็มาหลงสังขารนี่ล่ะ หลงขันธ์ 5 ว่ามีสัตว์บุคคลตัวตน
ไม่ใช่ไปหลงไหน "อวิชชาหลงสังขาร จิตหลงสังขาร จึงไปถือวิญญาณไปเกิด" ถ้าจิตรู้เท่าสังขารว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน จิตก็เป็นธรรมชาติคือเก่า ก็ไม่ไปเกิดอีก อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับ วิญญาณดับ ขันธ์ 5 ดับ ตาหูจมูกลิ้นก็ไม่มี ผัสสะก็ดับ เวทนาก็ดับ อะไรก็ดับหมด อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ ก็ดับ เป็นนิโรธ เป็นพระนิพพานเท่านั่น..
บางส่วนจาก สุญญตา พระธรรมเทศนาหลวงตาศิริ อินฺทสิริ แสดงธรรมหลังทำวัตรเย็นวันที่ ๒๕ ม.ค. ๒๕๕๙
(44:40 - 46:42)
ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาปัจจะยา สังขารา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
สังขาระปัจจะยา วิญญานัง เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส เพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
ผัสสะปัจจะยา เวทนา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เวทะนายะปัจจะยา ตัณหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
ภะวะปัจจะยา ชาติ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
อวิชชายะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ
สังขาระนิโรธา วิญาณะนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
วิญญาณะนิโรธา นามรูปะนิโรโธ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจจึงดับ
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ การดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ
0 comments:
Post a Comment