สมเด็จพระญาณสังวร ..(บางส่วนจาก สุญญตาข้อแรก) นี้เป็นข้อแรกของการปฏิบัติหัดทำจิตที่ทรงสั่งสอน และเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะทางสมาธิพึงถือเป็นหลักปฏิบัติได้ กล่าวคือแม้จะอยู่ในบ้าน อยู่ในหมู่มนุษย์ที่เป็นชาวบ้านด้วยกันก็สามารถทำสมาธิได้
กล่าวคือไม่ใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่กำหนดหมายว่าเป็นหมู่คน แต่ว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า เหมือนอย่างไม่มีบ้าน เหมือนอย่างไม่มีผู้คน ป่านั้นก็เป็นสถานที่ประกอบด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน ตลอดจนถึงสัตว์ป่าทั้งหลาย
ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ใส่ใจกำหนดลงว่าเป็นป่าดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติหยั่งจิตลงไปสู่สุญญตาคือความว่างขั้นแรก และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็สามารถทำจิตให้สงบได้เหมือนอยู่ในป่า ก็เป็นสุญญตาคือความว่าง เพราะว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นหมู่คนนั้นเอง เป็นสุญญตาในข้อนี้
ฉะนั้น จึงแสดงว่าความสำคัญนั้นอยู่ที่จิตใจ เมื่อจิตใจไม่กำหนดไม่ใส่ใจถึงสิ่งอันใด สิ่งอันนั้นก็ว่างไปเหมือนไม่มี แม้จะมีก็เหมือนไม่มี แม้ว่าจะเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ถ้าจิตใจยังคำนึงถึงบ้านคำนึงถึงผู้คน บ้านและผู้คนก็มาตั้งอยู่ในจิตใจ แม้กายจะอยู่ในป่าก็ตาม ก็เป็นอันว่าจิตใจก็คงไม่สงบอยู่นั่นเอง
กลับตรงกันข้ามกายอยู่ในบ้านอยู่กับผู้คนทั้งหลาย แต่ว่าจิตใจไม่ใส่ใจถึง กำหนดว่าเป็นป่า ป่าก็ตั้งขึ้นในจิตใจ จิตใจก็มีความสงบได้..,
..บางส่วนจาก สุญญตาข้อ ๒.. ต่อจากข้อนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนต่อไป ให้ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ซึ่งประกอบไปด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึง ที่ลุ่มที่ดอนเป็นต้น ซึ่งรวมเรียกว่าป่านั้น แต่ให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินล้วนๆ ปราศจากต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด
เหมือนอย่างแผ่นหนังสัตว์ที่ได้มาจัดการทำให้ราบเรียบดีแล้ว เหมือนอย่างหนังหน้ากลองผืนใหญ่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมด ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้หยั่งลงสู่สุญญตาคือความว่างขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ว่าก็ยังไม่ว่างอยู่อีกสิ่งหนึ่งก็คือตัวแผ่นดินนั้นเอง ยังมีอยู่
ในข้อนี้เป็นอันได้ตรัสสอนให้กำหนดทำสุญญตาคือความว่างที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง สูงขึ้นมาจากป่ามาเป็นกำหนดว่าเป็นแผ่นดินที่เรียบราบไปตลอดทั้งหมด เหมือนอย่างหนังหน้ากลองดังกล่าวนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ย่อมจะได้ความสงบเป็นสมาธิขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แม้ในข้อนี้ก็ย่อมเป็นข้อที่ผู้ต้องการปฏิบัติสมาธิพึงเห็นว่าปฏิบัติได้ในที่ทุกสถานเช่นเดียวกัน
และเมื่อได้หัดปฏิบัติใส่ใจกำหนดให้ได้ว่าเป็นป่าซึ่งเป็นข้อที่ ๑ นั้นแล้ว ก็ให้มาใส่ใจกำหนดให้เห็นว่าเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมดต่อไป
และในสองข้อนี้ก็ควรที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกว่า ข้อแรกความตั้งใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่มีบ้านไม่มีผู้คนนั้น ย่อมรวมถึงไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโผฏฐัพพะ อันเป็นกามคือกามคุณ หรือวัตถุกาม คือเป็นสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย เพราะว่ากามหรือกามคุณ หรือวัตถุกามทั้งปวงนี้ ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้าน รวมอยู่ในคำว่าผู้คน
ฉะนั้นเมื่อจิตใจไม่กำหนดถึงว่าเป็นบ้าน ไม่กำหนดถึงว่าเป็นผู้คน ก็คือไม่กำหนดว่า เป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย อันรวมทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลายด้วย คือไม่มีอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินร้ายทั้งปวง อันอารมณ์ทั้งปวงดังกล่าวนี้ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้าน รวมอยู่ในคำว่าผู้คน รวมอยู่ในคำว่าเงินทองทรัพย์สินเป็นต้น ซึ่งเป็นบ้านนั้นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ก็คือไม่ใส่ใจกำหนดไปในอารมณ์ทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีความยินร้ายทั้งสิ้น มากำหนดหมายว่าเป็นป่า คือว่าเห็นต้นไม้เห็นภูเขาเห็นบึงคลองหนองที่ลุ่มที่ดอนต่างๆ อันรวมความว่าเป็นป่า ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นต้น ทั้งที่น่ารักใคร่ ทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ อันเป็นเรื่องของบ้าน อันเป็นเรื่องของผู้คน เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเรียกว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า
จิตจึงสงบจากกามฉันท์ จากพยาบาทเป็นต้น อันเป็นนิวรณ์ ดั่งนี้ จึงเป็นสมาธิ และกรรมฐานที่เป็นอารมณ์ของสมาธินั้นก็คือว่าป่านั้นเอง..
พระธรรมเทศนา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก - พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๑
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-001.htm
14.1.18
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment