หลวงตาศิริ ..จิตรู้เท่าสังขาร คือยอดแห่งวิชชา วิชชาก็คือปัญญา นั่นล่ะ ปัญญาญาณ จักขุญาณ ญาณจักขุ จักขุญาณ ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่การพิจารณา อยู่ที่การปรุงแต่งนี่ล่ะ นึกคิดปรุงแต่ง ใช้พิจารณาญาณถอดกายออก ถอดสมมติบัญญัติออก//
..ถ้าเรายังเห็นว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคล เป็นเราเป็นของของเราอยู่ ตราบใดก็เรียกว่าสังขารโลก ต่อเมื่อเราเกิดธรรมจักขุ หรือดวงตาเห็นธรรม หรือญาณจักขุเกิดความรู้ ขึ้นมา ญาณจักขุนั่นน่ะ เห็นว่า สมมติพวกนี้เค้าก็ตั้งขึ้นมาใช้ในสังคมมนุษย์ให้เค้าเรียกกันเฉยๆให้ใช้ร่วมกันเฉยๆ
ที่จริงรูปนาม ขันธ์5 อายตนะ ก็ไม่มี ผมขนเล็บฟันก็ไม่มี นี่แหละเขาบัญญัติ เขาบัญญัติขึ้นจากก้อนธาตุก้อนธรรม ก็คงเหลือตั้งแต่ธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัตินี่แหละท่านเรียกอเนญชาภิสังขาร คือสังขารธรรม..
..ก้อนสกลกายหนิ เป็นธรรมธาตุเป็นธรรมดา ท่านจึงบัญญัติว่า สัพเพสังขารา อนิจจา พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน
ธรรมทั้งหลายคืออะไรล่ะ ก็ธรรมฝ่ายสังขาร ก็คือร่างกายของเราหนิแหละ ธรรมฝ่ายสังขาร ดินน้ำลมไฟมาปรุงแต่งกันขึ้นก็เรียกว่าธรรมฝ่ายสังขาร ธรรมฝ่ายวิสังขารก็คือใจ คือวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน เป็นสังขารธรรม
ถ้าเราพิจารณา ให้เกิดให้มีให้เห็นไม่เป็นอยู่อย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตรู้เท่าสังขาร จิตรู้เท่าสังขาร คือยอดแห่งวิชชา วิชชาก็คือปัญญา นั่นล่ะ ปัญญาญาณ จักขุญาณ ญาณจักขุ จักขุญาณ ไม่ได้อยู่ที่ไหน
อยู่ที่การพิจารณา อยู่ที่การปรุงแต่งนี่ล่ะ นึกคิดปรุงแต่ง ใช้พิจารณาญาณถอดกายออก ถอดสมมติบัญญัติออก สังขารทั้งหลายก็ย่อลงมาเหลืออยู่ขันธ์5 นี่แหละ
จิตรู้เท่าขันธ์5นี่แหละ รู้ว่ายังงัย รู้ว่าขันธ์5 รูปนามขันธ์5 ว่างจากสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เราก็มี นี่แหละคือปัญญา ไม่ได้ อยู่ที่ไหน แยกออกให้ฟังเฉยๆดอกว่า สังขารโลกสังขารธรรม
ผู้ที่ท่าน เป็นพระอริยะเข้าพระนิพพานก็เห็น นี่แหละสังขารธรรม เห็นขันธ์5 หนิ ดับขันธ์5ได้ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ท่านเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เมื่อธาตุแตกขันธ์ดับ ตายไปแล้วก็ เรียกว่าอุปาทิเสสนิพพาน..
บางส่วนจาก พระธรรมเทศนา หลวงตาศิริ อินฺทสิริ ๑๐. สังขาร ๓ - CD จากงานสมโภชพระธุตังคเจดีย์
https://youtu.be/3lkDFFD8E_k?t=20m28s
(20:28 - 21:27, 24:35 - 26:41)
24.12.17
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment