หลวงตาศิริ : ..ต้องทำอย่างงี้ อย่างงี้ ทุกวันทุกวันเถิด นั่น จงพิจารณาอย่างนี้ อย่างนี้ ทุกวันทุกวันเถิด แล้วมันท่องได้อยู่ แต่ไม่พิจารณาซักคืนซักวัน ให้เข้าใจนะ นี่ สมถะ วิปัสสนา ก็เป็นของคู่กันอย่างนี้
เมื่อสมถะเกิดแล้ววิปัสสนาก็เกิด เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จึงจะเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ทราบสักแต่ว่าทราบ รู้ว่าเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ธรรมารมณ์ไหลออกจากใจ อารมณ์เก่าไหลออกจากใจ ความคิดเกิดขึ้น ก็รู้ว่าเราคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ รู้ก็รู้เฉยๆ ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลในนั่น
จึงไม่ยินดีไม่ยินร้าย ทำจิตให้นิ่งเป็นกลางอยู่ นี่แหละคือ มัชฌิมะ เป็นกลางอยู่ มัชฌิมปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความเป็นกลาง คือไม่ยินดีไม่ยินร้าย นี่แหละเพิ่นเอิ้นว่าเมืองพอ พอดีน่ะ คือกลางๆ สุขก็ไม่เอา ทุกข์ก็ไม่เอา ร้อนก็ไม่เอาหนาวก็ไม่เอา
เอาพอดี ตาเห็นรูปกำหนัดก็ไม่เอา กำหนัดในรูปนั้นก็ไม่เอา ขัดเคืองในรูปนั้นก็ไม่เอา ยินดีก็ไม่เอา ยินร้ายก็ไม่เอา ทำจิตให้นิ่งๆเป็นกลางอยู่ นี่แหละคือมัชฌิมปฏิปทา ข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าสอนเราอยู่ ทำจิตให้นิ่งให้ว่างเป็นกลางอยู่ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย เหตุเพียงเท่านี้แหละเรียกว่าพระนิพพาน
แค่เอื้อมก็แล้วกันนะ นี่ ทำได้ไหมล่ะหือ ต้องรื้อกายเจ้าของถอดกายเจ้าของ ให้เห็นอสุภะ อสุภัง ให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะ ไม่ต้องไปถามเอาที่ไหนดอกเห็นสักแต่ว่าเห็นนั่น
ถ้าเห็นกายเจ้าของไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอยู่นี่ กายของคนอื่นก็ไม่มี ก็โอปนยิโกเข้ามานี่ สติปัญญามันเกิดเองดอก ไม่ได้ไปขอจากใครดอก..
บางส่วนจาก พระธรรมเทศนา หลวงตาศิริ อินฺทสิริ ๐๗. กายคตาสติ - CD จากงานสมโภชพระธุตังคเจดีย์
รับฟังเสียง https://youtu.be/ULckI2R-t5w?t=55m34s (55:34 - 58:22)
10.12.17
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment