14.5.17

เช่นความคิดอย่างนี้นะ มันเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้นก็ดับไปในขณะนั้นแหละ ไม่ใช่มันจะยืดเยื้อไปนะ แต่ว่าใจนี่สิหากไปยินดียินร้ายกับความคิดนั้นแล้ว มันก็เลยเกิดเป็นภาพต่างๆขึ้นมาตามจินตนาการของจิตที่มันคิดมันปรุงขึ้นมานั้นน่ะ

BY Somchatchai IN No comments

..เมื่อบุคคลใดมาสำรวมใจนี้อยู่เสมอๆ มีสติสัมปชัญญะ คอยระมัดระวัง ความคิดความนึก ความรู้สึกต่างๆนี่น่ะ ต้องมีสติกำหนดรู้ไปทุกระยะๆไป รู้อย่างไร รู้ว่าความคิดความนึกต่างๆหมู่นี้ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีตัวไม่มีตนไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ความคิดนั้นมันมีรูปร่างอย่างนั้น เป็นตัวเป็นตนอย่างนี้ ไม่มี

แต่ถ้าบุคคลไม่เพ่งพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว มันคล้ายๆกับมันมีตัวจริงๆความคิดอันนั้นน่ะ เพราะเหตุนั้นมันถึงได้ดิ้นรนไปตามความคิดนั้นแหละ คนเรานี้ แต่ถ้าเพ่งดูด้วยสมาธิด้วยปัญญาจริงๆแล้วนั่น ไม่มี ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เราจะต้องหมุนไปตาม

เพราะว่ามันเห็น เช่นความคิดอย่างนี้นะ มันเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วในขณะนั้นก็ดับไปในขณะนั้นแหละ ไม่ใช่มันจะยืดเยื้อไปนะ  แต่ว่าใจนี่สิหากไปยินดียินร้ายกับความคิดนั้นแล้ว มันก็เลยเกิดเป็นภาพต่างๆขึ้นมาตามจินตนาการของจิตที่มันคิดมันปรุงขึ้นมานั้นน่ะ

ที่นี้ถ้าหากว่าจิต คิดอะไรขึ้นมาแล้วมันกำหนดรู้เท่าความคิดตัวเอง เห็นว่ามันไม่มีตัวตนไม่มีแก่นสารอะไรมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป กำหนดรู้ตามอย่างนี้เรื่อยไป มันก็ไม่มีภาพอะไรที่จะมาหลอกหลอนจิต เพราะว่าจิตไม่ปรุงไม่แต่งมัน

มันเห็นแต่มันเกิดแล้วมันดับไปเฉย มันไม่มีเรื่องอะไรจะมาปรุงแต่ง ให้เกิดเป็นดีเป็นชั่วเป็นบาปเป็นกรรมอะไรขึ้นมา หรือว่าให้เป็นความรักความชังขึ้นมาไม่มี แต่ที่มันปรุงแต่งขึ้น ให้เกิดเป็นความรักความชังนั่น ก็เพราะมันคิดขึ้นมาแล้ว โดยสำคัญความคิดว่าเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา มันถึงได้เกิดความรักความชังขึ้น อันนี้สำคัญมากทีเดียว..

บางส่วนจาก พระธรรมเทศนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ - เทศน์อบรม 14 ก.ย 31
https://youtu.be/NyFnlw4oCl0?t=3m12s
(3:12 - 5:44)

0 comments:

Post a Comment