..สัตว์ทั้งหลายน่ะ มันขันอาสามาเป็นอาหารของมนุษย์หรือไม่ มันประกาศเมื่อไร ..มันไม่ใช่ว่า มันฆ่ากันโดยไม่มีเหตุปัจจัย มันเหตุในหนหลัง มาสมทบกับเหตุในปัจจุบันด้วย ..พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อัพยาปัชฌัง สุขัง โลเก ปาณะ ภูเตสุ สัญญะโม ความสำรวมในสัตว์ คือความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นสุขในโลก ...หลวงปู่เหรียญ//
..เพราะว่า กายวาจานี่ มันมีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าใจเห็นผิดแล้ว มันก็ใช้กาย ใช้วาจา ทำผิด พูดผิด จากทำนองคลองธรรมไป อย่างนี้แหละ เช่นบางคนก็ เห็นไปว่า การฆ่าสัตว์นี่ ไม่เป็นบาปหรอก แต่ว่าฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหารนะ สัตว์อะไรที่ไม่เป็นอาหารอย่าไปฆ่ามัน
เพราะว่าชีวิตของมนุษย์เรานี่ มันอยู่ด้วยกับเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว มันจะอยู่ไม่ได้ ไอ่ของมึนเมาต่างๆหนิสุราเมรัย หมู่นี้ ก็เป็นของประดับโลก ถ้าไม่มีน้ำพรรณ์นี้ คนเราก็ หงอยเหงาเศร้าใจ หาความสุขสบายไม่ได้ เมื่อมีน้ำพรรณ์นี้หล่อเลี้ยงเข้าไปแล้ว มีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจดี
แม้ว่า จะไปเล่นชู้ กับเมียของคนอื่นหรือผัวคนอื่น หมู่นี้ เห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุกสนานดี อันหมู่นี้แหละ ล้วนแต่เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้นเลย ถ้าบุคคลเข้าใจถูกต้องแล้วจะไม่ทำ เป็นเด็ดขาดเลย
เช่นอย่างข้อที่ 1 อย่างนี้นะ สัตว์ทั้งหลายน่ะ มันขันอาสามาเป็นอาหารของมนุษย์หรือไม่ มันประกาศเมื่อไร นี่ มันไม่มีใครจะตอบได้เลย ตอนนี้นะ มันว่ากันเอาเฉยๆหนิ สัตว์ทั้งหลายย่อมกลัวตาย รักชีวิตของตนเหมือนกันหมดทุกชนิดเลย ใครๆก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตน มาเบียดเบียนตน
แม้ตัวของตัวเองก็ลองคิดดู ก็รักชีวิตของตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเลย อย่าว่าแต่ตบตีเลย แม้แต่ด่าว่าด้วยวาจา ก็เจ็บใจเต็มทีอยู่แล้ว นี่ล่ะ เพราะฉะนั้นผู้ใด ไปเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น ก็จึงชื่อว่า เป็นผู้เอาเปรียบ บุคคลอื่นและสัตว์อื่น
เห็นว่าตนมีอำนาจเหนือเค้า ก็ทำได้ทำเอา เมื่อทีเค้ามาทำตน ตนก็ไม่ปรารถนาจะให้เค้าทำ หาทางต่อสู้ อันหมู่นี้มันควรคิด ควรพิจารณา ให้รู้ให้เห็น การต่อสู้กัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มันก็เป็นกรรมเป็นเวร ตามสนองกันไป ชาติแล้วก็ชาติเล่า
ดังเราจะเห็นได้ ปัจจุบันนี้แหละ ทำไมคนถึงฆ่ากันนักหนา มันไม่ใช่ว่า มันฆ่ากันโดยไม่มีเหตุปัจจัย มันเหตุในหนหลัง มาสมทบกับเหตุในปัจจุบันด้วย เหตุในปัจจุบันต่างคนต่างไม่มีศีลไม่สำรวมกายวาจา พูดกระทบกระทั่งกันเข้า แสดงกิริยาหยาบคายต่อกันและกัน
ประกอบกับกรรมเก่าที่ได้ทำมาแต่ก่อนนู้น เคยได้เบียดเบียนกันมา มันก็มาหนุนส่ง ให้มีความโกรธความพยาบาทขึ้นอย่างรุนแรง นี่ก็ได้ลงมือประหัตประหารกัน ใครดีก็ใครอยู่ใครไม่ดีก็ตายไป บางทีมันก็ลอบกัดเอา โดยเจ้าตัวไม่รู้เลย
อันหมู่นี้ มันไม่ใช่ว่าอาศัยแต่เหตุปัจจุบันนะ อาศัยเหตุในอดีตที่ล่วงแล้วมา แต่ก่อนผู้ที่ถูกเขาฆ่าตาย ผู้นั้นก็ ก็คงไปฆ่าเขามาแต่ก่อนน่ะ กรรมนั้นมันก็ติดสอยห้อยตามมา มาถึงในชาตินี้มันถึงเวลามันให้ผลเวลาใดมันก็ดลบันดาลให้ คนอื่นเค้ามาฆ่าตัวเองตายเสีย ก็เป็นอยู่อย่างนี้ บุคคลผู้ไม่มีศีลน่ะ ไม่สำรวมในศีลแล้ว มันก็มีแต่การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อัพยาปัชฌัง สุขัง โลเก ปาณะ ภูเตสุ สัญญะโม ความสำรวมในสัตว์ คือความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นสุขในโลก
สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกกะโม ความสิ้นไปแห่งราคะ คือความล่วงกามเสียได้ เป็นสุขในโลก..
บางส่วนจาก คำสอนประโยคสุดท้าย 31 ส.ค. 30
พระธรรมเทศนา หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
https://youtu.be/tyiiFu6QnTw?t=8m18s
(8:18 - 14:38)
23.3.17
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment